นักลงทุนระยะยาว ซื้อหุ้นตอนไหน โดย นายแว่นลงทุน

นักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จมักไม่ใช่คนที่เข้าซื้อหุ้นในช่วงกระแสข่าวดีหรือช่วงราคาพุ่งแรงที่สุด แต่เป็นคนที่เข้าใจคุณค่าของธุรกิจ และใช้เวลาเป็นพันธมิตรในการสร้างความมั่งคั่ง นักลงทุนประเภทนี้ไม่ได้พยายามจับจังหวะตลาดแบบรายวันหรือรายสัปดาห์ เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าในระยะสั้น ราคาหุ้นถูกครอบงำด้วยความกลัว ความโลภ และความไม่แน่นอน แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจในที่สุด

.
นักลงทุนระยะยาวจึงมักซื้อหุ้นเมื่อ “ราคาต่ำกว่ามูลค่า” หรืออย่างน้อยที่สุดเมื่อ “ราคาสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับอนาคตที่คาดได้” โดยไม่สนใจว่าตลาดในวันนั้นจะวิ่งขึ้นหรือลงเท่าใด หลายครั้งจังหวะที่ดีที่สุดในการลงทุนระยะยาวเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเป็นลบ มีข่าวร้าย หรือเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดี ๆ ลดลงต่ำกว่ามูลค่าจริงชั่วคราว คล้ายกับการได้ซื้อกิจการชั้นยอดในราคาที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าคิดจะซื้อ
.
ในความเป็นจริง นักลงทุนระยะยาวมักตัดสินใจซื้อหุ้นเมื่อพบบริษัทที่มีคุณสมบัติดีอย่างน้อย 3 อย่างพร้อมกัน ได้แก่ หนึ่ง มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน สอง มีทีมผู้บริหารที่เก่งและซื่อสัตย์ และสาม มีราคาหุ้นที่ไม่สะท้อนมูลค่าของอนาคตมากเกินไป หรือในบางกรณีอาจยังต่ำเกินไปด้วยซ้ำ
.
หากมองในเชิงกลยุทธ์ นักลงทุนระยะยาวจะไม่รอ “ราคาต่ำสุด” ที่ไม่มีใครรู้ได้ล่วงหน้า พวกเขาอาจทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาปรับฐานลงมาในระดับที่เริ่มคุ้มค่าต่อความเสี่ยง โดยมองเป้าหมายระยะยาวไม่ต่ำกว่า 3–5 ปี หรือยาวกว่านั้น ขณะที่นักลงทุนทั่วไปอาจกลัวการติดดอย นักลงทุนระยะยาวกลับยินดีที่จะถือลงทุนต่อแม้ราคาจะปรับตัวลงช่วงสั้น เพราะพวกเขาเข้าใจว่าการลงทุนคือการเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรกับราคาหุ้น
.
จังหวะที่ดีอีกแบบหนึ่งคือ “ช่วงเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ” หรือที่เรียกว่า inflection point เช่น บริษัทกำลังเริ่มเห็นกำไรเติบโตหลังจากผ่านจุดต่ำสุดของวัฏจักร หรือเพิ่งเสร็จสิ้นการลงทุนก้อนใหญ่ และกำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ในจังหวะเช่นนี้ ตลาดอาจยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับศักยภาพใหม่ ทำให้ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนการเติบโตที่กำลังจะเกิดขึ้น นักลงทุนระยะยาวที่มองออกก่อนจึงได้เปรียบ
.
อีกช่วงเวลาที่นักลงทุนระยะยาวมักใช้พิจารณาคือ “เวลาที่หุ้นถูกเทขายอย่างไม่เป็นธรรม” เช่น การเกิด panic sell ในตลาด เพราะข่าวลบที่ไม่กระทบพื้นฐานของธุรกิจจริง เช่น การเมืองผันผวนระยะสั้น ค่าเงินบาทอ่อน หรือดัชนีดิ่งเพราะนักลงทุนต่างชาติขายยกกระดาน ในช่วงแบบนี้ บริษัทที่แข็งแรงอาจถูกขายออกมาแบบไร้เหตุผล นักลงทุนระยะยาวจะอาศัยโอกาสนี้เข้าซื้อในราคาที่มี margin of safety สูงกว่าปกติ
.
นอกจากจังหวะการซื้อที่เกี่ยวกับราคาหุ้น นักลงทุนระยะยาวยังอาศัย “เวลา” เป็นตัวสร้างผลตอบแทน โดยถือครองหุ้นนานพอให้ธุรกิจเติบโต และให้ราคาหุ้นสะท้อนศักยภาพนั้น นักลงทุนแบบนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกราฟรายวันหรือรายสัปดาห์มากนัก พวกเขาอาจสนใจภาพรวมเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย หรือนโยบายรัฐในระดับภาพใหญ่ แต่จะไม่ให้น้ำหนักกับความเคลื่อนไหวระยะสั้นจนเกินไป
.
อย่างไรก็ตาม การเป็นนักลงทุนระยะยาวไม่ได้หมายความว่าซื้อแล้วถือไปตลอดชีวิตแบบไม่สนใจอะไรเลย นักลงทุนที่ดีจะ “ถือหุ้นจนกว่าเหตุผลที่ซื้อจะเปลี่ยนไป” เช่น ธุรกิจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารเปลี่ยนนโยบายแบบไม่มีวินัย หรือโอกาสเติบโตหมดลง โดยในบางครั้ง พวกเขาอาจขายหุ้นที่ถือมานานเพื่อไปลงทุนในหุ้นที่มี upside สูงกว่าในช่วงเวลานั้น
.
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้จังหวะการซื้อคือ “วินัยและความอดทน” การลงทุนระยะยาวต้องใช้ความเข้าใจ ความมั่นใจในธุรกิจ และความสามารถในการทนต่อความผันผวน นักลงทุนที่กลัวตลาดตกทุกครั้งอาจไม่มีโอกาสได้ผลตอบแทนในระยะยาวเลย เพราะจะตัดสินใจขายทิ้งในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ทั้งที่อาจเป็นช่วงเวลาที่ควรซื้อเพิ่ม
.
สรุปคือ นักลงทุนระยะยาวจะซื้อหุ้นเมื่อเจอบริษัทดี มีอนาคต และราคาน่าสนใจ โดยไม่พยายามจับจังหวะตลาด แต่ใช้วิธีทยอยสะสมเมื่อราคาลงต่ำกว่ามูลค่าจริง พร้อมถือครองอย่างมีวินัยจนกว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไปจากวันที่ตัดสินใจลงทุน พวกเขาไม่กลัวความผันผวน แต่ใช้มันเป็นโอกาสเสริมพอร์ต และเชื่อมั่นในพลังของเวลาในการเปลี่ยนการลงทุนเล็ก ๆ ให้กลายเป็นความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในที่สุดครับ.
ติดตามบทความอื่น ๆ อีกมากมายได้ที่ www.finspace.co
ติดตามเรื่องราวการเงินที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณก่อนใครได้ที่
Facebook : FinSpace
Instagram : http://bit.ly/2ktv2o7
X : http://bit.ly/2keFfVD
Blockdit : https://bit.ly/37EWqmb
กลุ่มความรู้นักลงทุน: http://bit.ly/3clAwZ2
กลุ่มพัฒนาตัวเอง: http://bit.ly/3ejPXn